ถ้าพูดถึงซอฟต์แวร์วิเคราะห์วิดีโอที่ยอดเยี่ยมที่คุณกำลังมองหาเพื่อมาประยุกต์ใช้ ปัจจุบันคุณจะมีตัวเลือกสองสามอย่างดังนี้ – Cloud, Hybrid, หรือ On-Premise

แล้วแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ?

คำตอบสำหรับคำถามนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของคุณ แต่ต่อไปนี้คือแนวคิดพื้นฐานในการเริ่มต้น:

  1. Cloud: การปรับใช้บน Cloud อย่างสมบูรณ์หมายความว่าซอฟต์แวร์ทั้งหมดของคุณ (เช่น: การประมวลผลการวิเคราะห์และอินเตอร์เฟซการจัดการ) ออนไลน์ผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์
  2. Hybrid: จุดกึ่งกลางระหว่างการปรับใช้ระบบCloudและOn-premise ในสถานการณ์นี้การประมวลผลการวิเคราะห์จะทำงานที่เครื่องในไซต์งาน (ในองค์กร) และอินเตอร์เฟซการจัดการจะอยู่ในระบบคลาวด์
  3. On-premise: ฮาร์ดแวร์และระบบทั้งหมดจะถูกติดตั้งบน local network

แต่ละโมเดลสามารถปรับให้เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่และปรับขนาดให้เข้ากับธุรกิจของคุณได้ และทั้งสามรุ่นยังมีความปลอดภัยอย่างยิ่งต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์สวนทางกับความเชื่อของคนทั่วไป

ก่อนที่จะไปต่อ! มีคำถามสำคัญสองสามข้อที่คุณควรคำนึงถึงเมื่อตัดสินใจว่าโมเดลใดดีที่สุดสำหรับคุณ:

  1. ภาระที่ต้องรับผิดชอบด้านไอทีมากน้อยเพียงใด (เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูล)?
  2. ต้องการให้ระบบทำงานเร็วแค่ไหน?
  3. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรวดเร็วและเชื่อถือได้แค่ไหน?

มาดูความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการปรับใช้ระบบ Cloud, Hybrid, และ On-Premise

ความรับผิดชอบด้านไอที

Cloud

หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีที่สุดของการปรับใช้บนคลาวด์อย่างสมบูรณ์คือคุณไม่จำเป็นต้องตั้งค่า บำรุงรักษา แก้ไข หรือตรวจสอบระบบไอทีของคุณ – ผู้ให้บริการของคุณจะเป็นผู้ดูแลแทนคุณ

โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลและเพื่อความปลอดภัยจากการโจมตีทางไซเบอร์ คุณจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลและค่าปรับ

หรือต้องอัปเดตระบบของคุณให้ใหม่ล่าสุดอยู่เสมอ? ด้วยระบบคลาวด์คุณไม่จำเป็นต้องกังวลต่อเรื่องเหล่านี้ ทางผู้ให้บริการของคุณจะจัดการดูแลและการอัปเดตอัตโนมัติทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

Hybrid

การอัปเดตและการบำรุงรักษาด้านไอทีมักจะครอบคลุมโดยผู้ให้บริการ ซึ่งรวมถึงการอัปเดตสำหรับอุปกรณ์ประมวลผลการวิเคราะห์ที่ไซต์งานหรือในองค์กร (“อุปกรณ์ Edge”) เมื่อมีการเชื่อมต่อ

อย่างไรก็ตามคุณจะต้องรับผิดชอบในการซ่อมแซมและเปลี่ยนเครื่อง Edge ของคุณเมื่อเวลาผ่านไป

On-premise

ระบบจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้านไอทีที่มากขึ้น เนื่องจากคุณจะต้องรับผิดชอบในการติดตั้งและบำรุงรักษา เนื่องจากคุณจัดเก็บข้อมูลของคุณไว้ในเครื่อง ซึ่งคุณจะต้องแน่ใจว่าคุณจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองต่างๆได้ด้วย

แต่ด้วยความรับผิดชอบที่มากขึ้นก็มาพร้อมกับการควบคุมที่มากขึ้น คุณสามารถปรับแต่งระบบของคุณได้ตามที่คุณต้องการ ตัวอย่างเช่น คุณอาจไม่ต้องการให้ระบบของคุณได้รับการอัปเดตก่อนที่ทีมของคุณจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อการดำเนินงานของคุณอย่างไร เป็นต้น

เวลาดำเนินการ

Cloud

คุณสามารถตั้งค่าระบบบนคลาวด์ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน และไม่ต้องจัดซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ก็ใช้งานได้

ระบบบนคลาวด์ยังปรับขนาดได้ง่ายมากหลังจากการตั้งค่าเริ่มต้น คุณสามารถเพิ่มหรือลบผู้ใช้ กล้อง เซิร์ฟเวอร์ และผู้ใช้ได้อย่างง่ายดาย

Hybrid

สำหรับบริษัทที่มีโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก การปรับใช้แบบไฮบริดนั้นเกือบจะเร็วพอๆ กับระบบคลาวด์

สำหรับบริษัทที่มีโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ต้องการพลังการประมวลผลที่มากขึ้น ซึ่งหมายถึงศูนย์ข้อมูลและใช้เวลาในการติดตั้งนานขึ้น

On-premise

โดยทั่วไปจะใช้เวลาดำเนินการนานกว่าสองระบบข้างต้น เหตุผลหลักคือคุณอาจต้องซื้อและติดตั้งฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น ศูนย์ข้อมูลในสถานที่เพื่อให้ระบบทำงานได้

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

Cloud

การถ่ายโอนข้อมูลจากกล้องไปยังส่วนต่อประสานการจัดการจะต้องใช้แบนด์วิธมากกว่าการดำเนินการบน Local Network หากมีการทำงานในสถานที่ห่างไกลและการเชื่อมต่อไม่เสถียร สตรีมการวิเคราะห์อาจสูญหายไม่ต่อเนื่องหากขาดการเชื่อมต่อ ต้องเตรียมการหารือกับผู้ขายเกี่ยวกับการตั้งค่าแผน “การสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบ” หากการเชื่อมต่อหยุดทำงาน

ในทางกลับกัน หากมีการเชื่อมต่อที่มั่นคง การวิเคราะห์ในระบบคลาวด์ก็ทำให้สามารถเข้าถึงระบบได้ทุกที่ทุกเวลา

Hybrid

ตราบใดที่เครือข่ายท้องถิ่นของคุณพร้อมใช้งาน การวิเคราะห์ก็จะยังทำงานต่อไป สัญญาณเตือนจะถูกส่งไป หากมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น สัญญาณเตือนจะถูกบัฟเฟอร์และส่งไปยังเครื่องรับที่ระบบคลาวด์เมื่ออินเทอร์เน็ตกลับมาทำงานอีกครั้ง ดังนั้น การหยุดทำงานของอินเทอร์เน็ต 30 วินาทีจะทำให้การรับการแจ้งเตือนล่าช้า 30 วินาที แต่จะไม่มีการสูญหายของข้อมูล

On-premise

ระบบมีความยืดหยุ่นมากขึ้นต่อปัญหาการเชื่อมต่อ ตราบใดที่ Local Network ถูกใช้งานอยู่ แม้ว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะล่ม ระบบก็จะไม่พลาดทุกเหตุการณ์

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ Irisity Technology


บันทึกย่อเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย

การพิจารณาขั้นสุดท้ายคือวิธีการชำระเงินแบบ CAPEX (Capital Expenditure) หรือ OPEX (Operational Expenditure) นั้นดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

CAPEX หรือการซื้อสินทรัพย์นั้นต้องทำให้องค์กรจ่ายเงินสำหรับระบบล่วงหน้าไปก่อน ในขณะที่ระบบบนคลาวด์มักจะเป็นแบบจ่ายรายเดือน/รายปี (OPEX)

CAPEX นั้นอาจมีมูลค่าที่สูงมากแต่ก็เป็นในระยะเวลาสั้น แต่ OPEX อาจมีราคาแพงขึ้นได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ เช่นระยะเวลาที่ชำระ, ค่าสมัครสมาชิก เป็นต้น

และการสมัครสมาชิกแบบรายปีก็จะสามารถทราบรายจ่ายที่ชัดเจนได้มากกว่า ทำให้รู้ว่าจะต้องจ่ายอะไรในแต่ละเดือน และไม่ควรมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแอบแฝง

ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสำหรับทรัพย์สินแบบ CAPEX อาจจะคาดเดาไม่ได้ เพราะอาจเกินอุบัติเหตุกับอุปกรณ์ ทรัพย์สินได้

ส่วนในสถานการณ์แบบไฮบริด คุณก็จะมีรูปแบบการชำระเงินแบบผสม คือ CAPEX สำหรับอุปกรณ์ Edge ที่คุณต้องการภายในองค์กร และการชำระเงินแบบประจำของ OPEX สำหรับโฮสต์บนคลาวด์ของคุณ

 


สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
สามารถติดต่อได้ที่:
Email: info@digitalcom.co.th
Website: www.digitalcom.co.th
Tel: 02-641-5879

#Irisity #Digitalcom #IrisitybyDigitalcom #VideoAnalytics #Cloud #OnPremise #ดิจิตอลคอม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า